
POST REPORTERS
The Supreme Court yesterday upheld the death sentence against former gynaecologist Wisut Boonkasemsanti for the premeditated murder of his estranged wife Dr Phassaporn six years ago. However, Dr Wisut has said he will seek a pardon from His Majesty the King.
The Supreme Court agreed with the verdict of a lower court, which established that Dr Wisut had a motive to murder his wife. They were reportedly in a bitter marital conflict after Dr Wisut allegedly had an affair with a female patient.
Although there was only forensic and circumstantial evidence, the Supreme Court believed Dr Wisut murdered his wife. She was last seen leaving a restaurant with Dr Wisut in February 2001. Her body has never been found.
His lawyer Apirom Saikhlai said Dr Wisut had the right to petition the King for a pardon within 60 days of the verdict. Dr. Phassaporn's father Chote Wattanachet welcomed the verdict. Her younger brother, Thanapong, said from Chiang Mai that justice had been served.

According to the verdict, their marriage became rocky towards the end of 1998 when Dr Phassaporn discovered her husband had been having an affair. On July 1, 1999, Dr Wisut moved out of the home they shared in the Makkasan area. After the separation, their conflict continued.
Dr. Wisut made an appointment to meet his estranged wife at a restaurant at the Siam Discovery shopping centre in Pathumwan on Feb 20, 2001.
That same day, Dr Wisut checked in at Witthayaniwet Residence Hall at Chulalongkorn University, where he is believed to have killed his wife and dismembered her body.
The following day, he left the university accommodation and checked in at the Sofitel Central Plaza Hotel. He had booked the room over a week before on Feb 13, the court verdict said.
The court believes Dr Wisut disposed of his wife's remains by cutting up the flesh and flushing the pieces down the toilet at the university accommodation and later at the hotel.
Pieces of flesh were found in the septic tanks at both sites and DNA tests confirmed they belonged to Dr Phassaporn.
Just before the restaurant appointment, Dr Wisut had bought packages of small and large black plastic bags, 30 sedative pills and a large amount of toilet paper and odour-controlling tablets. The court believes he used the items to cover up the murder.
- supreme (adj.) = สูงสุด, สำคัญที่สุด
- sentene (n.) = คำตัดสินลงโทษ, คำพิพากษา
ต่อมาในเวลาไล่เลี่ยกัน เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวนพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ มาศาลในชุดนักโทษสีน้ำตาล นายแพทย์คนดังยังมีบุคลิกเงียบขรึมยิ้มบ้างเล็กน้อย ร่างกายดูซูบผอมไปจากเดิม ผิวหนังที่เคยขาวแบบคนจีนเปลี่ยนเป็นสีแทน ตามท่อนแขนเริ่มตกกระ ผมตัดสั้นมีผมหงอกขึ้นแซม นพ.วิสุทธิ์เดินเข้าห้องพิจารณาคดีโดยไม่ยอมสบตาฝ่ายผู้เสียหายและนั่งฟังคำพิพากษาอย่างสงบตลอด 2 ชั่วโมง มี พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผช.ผบ.ตร. กับ พ.ต.ท.ชยุธ มารยาตร์ พนักงานสอบสวน สน.พญาไท นั่งประกบตลอดการฟังคำพิพากษา
นายกู้เกียรติ สุนทรบุระ ผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษาใจความโดยสรุปว่า โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อระหว่างวันที่ 20-22 ก.พ.2544 จำเลยลอบใส่ยาโดมีคุมให้ พญ. ผัสพรดื่ม แล้วนำตัวไปกักขังหน่วงเหนี่ยว จากนั้นได้ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยใช้มีดแล้วจึงชำแหละศพ สาเหตุจากผู้ตายจับได้ว่าจำเลยไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นและยังมีเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สิน รวมถึงเรื่องที่จำเลยเคยขอหย่ากับผู้ตาย หลังชำแหละแล้วนำไปทิ้งในสถานที่ต่างๆเพื่อปิดบังการตาย พยานโจทก์เบิกความว่า พญ.ผัสพรสมรสกับจำเลยมี บุตร 2 คน เมื่อปี 2532 จำเลยเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ รพ.จุฬาฯ และ รพ.บำรุงราษฎร์ ผู้ตายเป็นแพทย์อยู่ รพ.บุรฉัตรไชยากร (รพ.รถไฟ) จำเลยร่วมซื้อที่ดิน อ.พาน จ.เชียงราย กับผู้ตาย แล้วใส่ชื่อผู้ตายในโฉนด ผู้ตายเป็นฝ่ายควบคุมการเงินในครอบครัว เมื่อปี 2541 ผู้ตายจับได้ว่าจำเลยมีสัมพันธ์กับคนไข้หญิง ที่มีสามีแล้ว ในปี 2542 จำเลยขอหย่ากับผู้ตายและขอเป็นฝ่ายควบคุมการเงินในครอบครัวและทำบันทึกตกลงกันเรื่องทรัพย์สิน โดยยอมรับว่าจะไม่ทำเรื่องชู้สาวอีกต่อมาผู้ตายได้โอนที่ดินมาเป็นชื่อจำเลย จากนั้นจึงแยกกันอยู่ โดยจำเลยไปเช่าห้องเลขที่ 318 อาคารวิทยนิเวศน์ อยู่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นฝ่ายพาลูกไปส่งที่โรงเรียน ส่วนผู้ตายเป็นฝ่ายไปรับกลับตอนเย็น
เมื่อปี 2542 จำเลยฟ้องผู้ตายต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางเพื่อขอแบ่งทรัพย์สิน ต่อมาได้ประนอมความกัน จำเลยเคยบีบคอผู้ตาย แต่บุตรสาวมาพบเห็นเสียก่อน ผู้ตายจึงนำเรื่องไปปรึกษาญาติ และในที่สุดมีการแบ่งทรัพย์สินกันจากสินสมรส 24 ล้านบาท จำเลยได้ไป 13 ล้านบาท ต่อมาจำเลยเขียนจดหมายด้วยถ้อยคำหยาบคายต่อว่าเรื่องที่ผู้ตายไม่ยอมหย่าขาด และเคยใช้เหล็กดัมเบลทุบรถของผู้ตายได้รับความเสียหาย ผู้ตายจึงฟ้องจำเลยขอเพิกถอนการโอนทรัพย์สินหลายรายการ เพราะประพฤติผิดเงื่อนไข ขณะที่จำเลยยื่นฟ้องขอหย่ากับผู้ตายอีก ต่อมามีการเจรจาขอแบ่งทรัพย์สินที่เก็บไว้ในห้องนิรภัยธนาคาร ไทยพาณิชย์ และขอโอนรถอีกคันหนึ่งเป็นชื่อจำเลย จำเลยจึงยอมถอนฟ้องหย่าเพื่อตอบแทน แต่ต่อมาผู้ตายฟ้องจำเลยอีกเรื่องชู้สาว ความขัดแย้งทั้งหมดผู้ตายได้เล่าให้ พญ.เพียงใจ วัชรสินธ์ น้องสาวฟัง และบอกว่าถ้าตนเองต้องเป็นอะไรไป ไม่ต้องสงสัยใครนอกจากจำเลย
ในปี 2543 จำเลยเข้ามาถ่ายรูปบ้านพักของผู้ตายใน รพ.บุรฉัตรไชยากร ผู้ตายกลัวจะถูกจำเลยประทุษร้าย จึงแจ้งความตำรวจ จนวันที่ 20 ก.พ. 2544 จำเลยนัดผู้ตาย ไปพูดคุยกันเรื่องซ่อมแซมบ้านที่ร้านอาหารโออิชิ ภายในอาคารห้างดิสคัฟเวอรี่ ภาพจากทีวีวงจรปิดของห้างพบว่า ผู้ตายและจำเลยเดินทางมาเวลา 11.30 น. ในลักษณะต่าง คนต่างเดิน และออกจากห้างไปในเวลา 12.30 น. โดยจำเลย เป็นคนประคองร่างผู้ตายออกไป เย็นวันเดียวกัน จำเลยไป รับบุตรแทนผู้ตาย แล้วไปซื้อถุงขยะสีดำ กระดาษชำระ ขนาดใหญ่ และก้อนดับกลิ่นที่ร้านท็อปส์ในห้างโรบินสัน แล้วไปที่ห้อง 318 อาคารวิทยบริการ ก่อนไปโรงแรมโซฟิเทล ห้อง 1631 จากนั้นก็ไม่มีใครพบผู้ตายอีก จนเพื่อน ร่วมงานผู้ตายผิดสังเกต เมื่อสอบถามจำเลยก็ตอบไปว่าผู้ตายไปนั่งสมาธิ ต่อมาจำเลยไปแจ้งความตำรวจ สน. พญาไท ว่าผู้ตายหายตัวไป แต่ตำรวจสงสัยว่าจำเลยน่าจะ เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของผู้ตาย จึงเริ่มสอบสวนและ ตรวจพบชิ้นเนื้ออวัยวะสำคัญของผู้ตายในบ่อเกรอะของอาคารวิทยานิเวศน์ และที่โรงแรมโซฟิเทล แพทย์นิติเวช ตรวจสอบด้วยวิธีการเข้ากันทางพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอพบว่าชิ้นเนื้อเป็นของผู้ตาย แสดงว่า พญ.ผัสพรตายแล้ว ตำรวจจึงจับกุมจำเลย
จำเลยให้การต่อสู้คดีปฏิเสธฟ้องของโจทก์ แต่ยอมรับว่า เคยมีเรื่องทะเลาะกับผู้ตายบ้าง แต่ไม่เคยทำร้ายผู้ตาย เคยใช้เหล็กทุบรถโตโยต้าจริง เพราะลืมกุญแจ เคย มีเรื่องพิพาทกับผู้ตายเรื่องที่ดิน แต่ก็คุยกันได้ ผู้ตายเคยระแวงเรื่องคนไข้หญิง และเคยมีเรื่องฟ้องแบ่งทรัพย์สินแต่ตกลงกันได้ด้วยดี จำเลยเคยขอหย่า แต่ผู้ตายไม่ยอม จึงโกรธผู้ตายและแยกไปอยู่ที่อื่น จำเลยไปพบผู้ตายที่โออิชิจริง และวันดังกล่าวขับรถไปส่งผู้ตาย ก่อนกลับไปทำงานวิจัยที่จุฬาฯ มีเพื่อนนายแพทย์เป็นพยานหลายคน จึงไม่ใช่คนสุดท้ายที่อยู่กับผู้ตาย
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่ผ่านมา จำเลยยอมรับ ว่า พญ.ผัสพรไม่มีชีวิตอยู่ โดยจำเลยเคยยินยอมให้บุตรชาย ร่วมกับจำเลยไปทำคำร้องขอจัดการมรดกของ พญ.ผัสพร ผู้ตาย ที่ศาลแพ่ง แสดงว่าจำเลยยอมรับว่าภรรยาเสียชีวิต แล้ว ที่จำเลยอ้างว่าผลการตรวจดีเอ็นเอไม่น่าเชื่อถือ เพราะ มีเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานและวิธีการตรวจขัดแย้งกัน ไม่สามารถอ้างอิงได้ศาลเห็นว่า ผลการตรวจไม่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนมนุษย์อีก 8 ถุง ที่บริเวณลานทิ้ง สิ่งปฏิกูล ย่านอ่อนนุช เมื่อนำไปตรวจพบว่าเป็นอวัยวะของผู้ตายจริง นอกจากนี้ วิธีการตรวจดีเอ็นเอก็มีหลายวิธี แม้ค่าจะออกมาไม่ตรงกันบ้าง แต่ก็เป็นความต่างกันเล็ก น้อยมาก ศาลเชื่อว่าชิ้นส่วนศพเป็นของผู้ตาย เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจก็ไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน และเบิกความตรงไปตรงมาเชื่อถือได้
คดีมีประเด็นต้องพิจารณาว่า จำเลยเป็นผู้ฆ่า พญ. ผัสพรหรือไม่ เห็นว่าจากคำเบิกความของพยานโจทก์และภาพจากทีวีวงจรปิดของห้างดิสคัฟเวอรี่ พบว่าจำเลยเป็น ผู้ประคองร่างผู้ตายออกไป พยานเห็นว่า ผู้ตายมีลักษณะเบลอๆ สอดคล้องกับมีหลักฐานพบว่าจำเลยไปซื้อยาโดมีคุม 30 เม็ด เพื่อใช้ทำให้ง่วงนอนได้ ที่จำเลยอ้างว่านำไปแก้อาการภูมิแพ้ของมารดา ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้อง ใช้ยานี้ ข้อต่อสู้ของจำเลยมีข้อพิรุธ เพื่อพิจารณาประกอบกับจำเลยเป็นผู้ไปซื้อถุงดำ กระดาษทิชชู ก้อนดับกลิ่น ที่ห้างในวันที่ 20 ก.พ. 2544 ซึ่งจำเลยก็รับว่าไปซื้อของจริง นอกจากนี้ ยังมีพยานยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้สั่งพิมพ์จดหมายลางานปลอม และจดหมายถึงบุตรชายปลอมรวม 2 ฉบับ
จำเลยมีพฤติการณ์ขัดแย้งกับผู้ตาย ในเรื่องทรัพย์สิน เรื่องชู้สาว เรื่องอำนาจจัดการเงินในครอบครัว เรื่องฟ้องหย่า ประกอบกับผู้ตายบอกกับญาติสนิทว่า ให้สงสัยไว้ก่อนว่าจำเลยเป็นผู้ประทุษร้าย และผู้ตายเคยขู่ว่าจะนำเรื่องชู้สาวไปฟ้องแพทยสภาเพื่อถอนใบอนุญาตของจำเลย ผู้ ตายเพิกถอนการให้ที่ดิน อ.พาน จ.เชียงราย และจำเลยย้ายออกไปอาศัยอยู่ที่อื่น จำเลยโกรธเคืองผู้ตาย โดยเขียนจดหมายด่าทอผู้ตายหลายอย่าง พฤติการณ์ทั้งหมดแสดงชัดเจนว่าจำเลยไม่รักภรรยาและโกรธเกลียดชัง ไม่ อยากอยู่ร่วมกัน ถึงขนาดฟ้องหย่า แบ่งสินสมรส แม้จะเคยยอมความกันในคดีครอบครัวได้ แต่ก็ไม่ใช่เจตนาที่ แท้จริงในใจ จำเลยยังขอให้ผู้ตายคืนบันทึกแต่ผู้ตายไม่ ยอมคืน จำเลยยังมีความสัมพันธ์กับหญิงมีสามี ส่งเพจเจอร์ถึงกันด้วยข้อความในเชิงชู้สาว และจำเลยเป็นบุคคลสุดท้ายที่อยู่ใกล้ชิดผู้ตายก่อนที่ผู้ตายจะหายไป
แม้คดีไม่มีประจักษ์พยานเห็นในขณะลงมือฆ่า แต่พยานแวดล้อมกรณีมีความสอดคล้องเชื่อมโยงเป็นขั้นเป็นตอน คำพยานโจทก์จึงรับฟังได้ ฎีกาของจำเลยรับฟังไม่ขึ้นทุกประเด็น และไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง ที่ศาลล่างพิพากษาประหารชีวิต ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืนให้ ประหารชีวิตจำเลยสถานเดียว
หลังฟังคำพิพากษา นพ.วิสุทธิ์ซึ่งนั่งสงบนิ่งมาตลอด พยายามทำสีหน้ายิ้มแย้ม โดยมี พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผช.ผบ.ตร. ได้เข้ามายกมือไหว้ขออภัยว่า ตนทำไปตามหน้าที่ของตำรวจ เมื่อถูกประหารชีวิตแล้วก็อย่าอาฆาตพยาบาทกัน จากนั้น นายวีระศักดิ์ ทนายความโจทก์ได้ขออภัยและกล่าวว่า ตนเป็นทนายความก็ทำหน้าที่ทนายความขอให้เข้าใจด้วย ซึ่ง นพ.วิสุทธิ์ยิ้มและว่าไม่ว่าอะไร
ผู้สื่อข่าวถาม นพ.วิสุทธิ์ว่า ผลคำพิพากษาศาลฎีกายืนให้ประหารชีวิตรู้สึกอย่างไร นพ.วิสุทธิ์ตอบว่า “ผมก็ต้องยอมรับคำพิพากษาซิครับ” ต่อข้อถามว่า จะทูลเกล้าฯถวายฎีกาหรือไม่ และระหว่างรอทูลเกล้าฯสามารถทำงานด้านแพทย์ในเรือนจำได้หรือไม่ นพ.วิสุทธิ์พยักหน้ายิ้มและหันหน้าไปทางเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คล้ายหารือ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตอบแทนจำเลยว่า “คุณหมอทำงานแพทย์ในเรือนจำมาตลอดและยังสามารถทำงานต่อไปได้” นพ.วิสุทธิ์จึงยิ้มและหัวเราะกับผู้สื่อข่าว พล.ต.ท.จงรักที่ยืนอยู่ ใกล้ๆพูดว่า “ยังยิ้มได้ แสดงว่าไม่โกรธกันนะครับ” นพ. วิสุทธิ์ตอบไปว่า “ครับเข้าใจ ทุกคนทำตามหน้าที่”
ด้านนายโชติ วัฒนเชษฐ์ บิดา พญ.ผัสพร และ พญ.เพียงใจ วัชรสินธุ์ น้องสาว พญ.ผัสพร กล่าวว่า คำพิพากษาในวันนี้เป็นสิ่งที่ครอบครัวรอคอย และศาลให้ความยุติธรรมแก่ครอบครัวตน ต้องขอขอบคุณ พล.ต.ท.จงรัก และ พ.ต.ท.ชยุธ มารยาตร์ พนักงานสอบสวน ที่รวบรวมหลักฐานในคดีอย่างสมบูรณ์และกระบวนการทางศาลได้เสร็จสิ้นแล้ว
นายอภิรมย์ ซ้ายคล้าย ทนายความ นพ.วิสุทธิ์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังได้พบและพูดคุยกับลูกความว่า นพ.วิสุทธิ์ ยอมรับและทำใจได้ในคำตัดสินของศาล ลำดับจากนี้ไปภายใน 60 วัน จะทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษผ่านทางนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ รมว.ยุติธรรม โดยอ้างเหตุว่าในระหว่างถูกคุมขัง นพ.วิสุทธิ์ ได้ใช้วิชาชีพแพทย์รักษาผู้ป่วยโรคต่างๆในสถานพยาบาลเรือนจำกลางบางขวาง ซึ่งกระบวนการในการขอพระราชทานอภัยโทษ จนกว่าจะมีคำสั่งกลับมา คงใช้เวลาอีกประมาณ 1 ปี
Labels: News 26/07/07






.jpg)

